top of page

แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ตอนที่ 12

อัปเดตเมื่อ 11 ส.ค. 2565


ree

ถูกด่าเรื่องยาง เกิดปัญหาเรื่องข้าว


เมื่อเดินมาถึงจุดที่ผมจะต้องพยายามเปลี่ยนตัวเองจากนักธุรกิจใหญ่ในอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมมาเป็นตัวแทนชาวนากลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีความประสงค์ที่อยากจะเปลี่ยนวิถีชีวิตจากคอยรับ คอยเป็นผู้ถูกยัดเยียดข้อเสนอที่ไม่น่ายินดี มาเป็นผู้รุก ผู้ที่จะกุมชะตาชีวิตของตัวเองสักที ผมจำเป็นต้องมองหาพันธมิตรเพื่อขอความช่วยเหลือเกื้อกูลในป่าคอนกรีตขนาดยักษ์นี้

กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองใหญ่โตจริงๆ นอกจากเป็นเมืองหลวงแล้ว ยังเป็นชุมทางของทุกจังหวัดที่จะมาพบกัน แลกเปลี่ยนความต้องการให้กันและกัน ทุกอย่างโอเคกันได้ง่ายในกรุงเทพมหานคร

ree

ความที่กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่ และมีผู้อยู่อาศัยมากเท่าๆ กันกับมหานครนิวยอร์ค มหานครเซี่ยงไฮ้ และมหานครโตเกียว คือโดยประมาณสิบล้านคน (ประมาณแปดล้านคน อาศัยอยู่ และอีกสองล้านคน เดินทางเข้ามาเพื่อติดต่อเชื่อมโยงกันประจำวัน) มีจำนวนผู้คนมากมายขนาดนี้ ปัญหาก็มีจำนวนมหาศาลเช่นกัน

วิทยุชุมชนเช่น "รายการวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน" จึงกำเนิดเกิดขึ้นเมื่อประมาณปีพ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อทำหน้าที่ประสานเชื่อมช่องว่างของคนเมืองใหญ่ เชื่อมโยงคนเมืองให้มีโอกาสช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ถ้าท่านผู้อ่านฟังรายการของ "ร่วมด้วยช่วยกัน" อยู่แล้ว ท่านก็จะทราบดีว่า รายการนี้สร้างรายได้ให้แก่บริษัทโทรคมนาคมทั้งหลายอยู่ปีๆ หนึ่งมากมาย จำนวนผู้โทรเข้ารายการหลายแสนครั้งต่อปี ปัญหาตั้งแต่ระดับบ้าน ระดับซอย ระดับเขต ในกรุงเทพฯ จนถึงปัญหาระดับชาติ เช่นการบุกยึดสถานทูตพม่าเมื่อหลายปีมาแล้ว

"วิทยุร่วมด้วยช่วยกัน" เขาลุยมาหมด แล้วทำไมเขาจะช่วยเกษตรกรผู้ยากลำบากไม่ได้ ทั้งที่ญาติของเกษตรกรจำนวนมากอพยพมาอยู่ในกรุงเทพฯ ประกอบสัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพอยู่ในเมืองใหญ่เป็นจำนวนหลายล้านคน


ต่อไปในอนาคต เมื่อการเปิดเสรีเรื่องการกระจายเสียงและประกอบธุรกิจจัดรายการทางวิทยุเกิดขึ้น คลื่นวิทยุระบบเอฟเอ็ม สามารถจัดหาได้ง่ายกว่าทุกวันนี้ พวกเราตั้งใจไว้ว่าจะทำรายการ "วิทยุร่วมด้วยช่วยกัน" ทุกจังหวัด เชื่อมโยงกันทั้งทางเสียง ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ และผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้แนบแน่นทั้งประเทศเลย ทีนี้แหละ พ่อแม่พี่น้องครับ ตลาดที่มีผู้บริโภคนับเป็นสิบๆ ล้านคน จะเปิดรอรับทุกคนที่จะอยากจะซื้อ อยากจะขาย เรียกว่า ค้าขายกันระเบิดเถิดเทิง มันกันไปสุดๆ หมดเวลาทะเลาะกัน ได้เวลารวยให้เข็ดเสียที ตั้งแต่อำเภอเบตงในจังหวัดยะลายันอำเภอแม่สายที่จังหวัดเชียงรายโน่น

วันหนึ่งในปีพ.ศ.๒๕๔๕ พวกผมก็ได้ชักชวนท่านผู้ฟังรายการร่วมด้วยช่วยกัน มาร่วมกันก่อตั้ง "สหกรณ์" เพื่อจะได้เป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยง สร้างความสมประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ให้เกิดขึ้น พวกเราได้ตัดสินใจเปิด "สหกรณ์บริการ" ขึ้น โดยใช้ชื่อว่า "สหกรณ์ร่วมด้วยช่วยกัน" สมาชิกเกือบสามพันท่านมาร่วมด้วยช่วยกันสมัครเป็นสมาชิก เกือบทั้งหมดเป็นแฟนขาประจำของรายการวิทยุร่วมด้วยช่วยกันทั้งสิ้น

กฎหมายที่ใช้กำกับดูแลของสหกรณ์ทั่วไประบุไว้ว่า สมาชิกทุกท่านไม่ว่าจะลงทุนในหุ้นของสหกรณ์กี่บาทก็ตาม จะมีเสียงหนึ่งเสียงเท่ากันหมด ตัวผมเองมีหลายหุ้นอยู่ รู้สึกว่าจะมากกว่าสมาชิกทุกคน ก็ได้เสียงแค่เสียงเดียว แต่ด้วยความเกรงใจเขาเลยยกให้เป็นประธานของสหกรณ์โดยปริยาย

ปีแรกของการดำเนินกิจการสหกรณ์ร่วมด้วยช่วยกันซึ่งเป็นสหกรณ์บริการ ที่เราได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อเชื่อมโยงกับสหกรณ์การเกษตรในภาคอีสานและภาคใต้ โดยเน้นในเรื่องการช่วยเหลือสมาชิกของสหกรณ์เกษตรกรทำนาในสองจังหวัดภาคอีสาน กล่าวคือ "ร้อยเอ็ด และกาฬสินธุ์" สหกรณ์โรงรมยางในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี และสหกรณ์การประมงนอกน่านน้ำจังหวัดระนอง

กลุ่มสหกรณ์โรงรมยางต้องการความช่วยเหลือในเรื่องตลาดส่งออก อยากปลดเปลื้องความทุกข์เรื่องราคายางแผ่นตกต่ำ พวกเราก็เข้าไปพยายามเรียนรู้และพยายามเปิดตลาดให้ชาวสวนยางได้ค้าขายโดยตรง ด้วยการบินไปติดต่อกับผู้ซื้อยางแผ่นรมควันในประเทศจีน เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์

ในเบื้องต้น เพื่อแสดงสปิริตของความตั้งใจที่จริงจังของประธานสหกรณ์ร่วมด้วยช่วยกัน ว่ามีใจมีเจตนาที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาการตลาดแก่กลุ่มสมาชิกสหกรณ์โรงรมยางทั้งสามสิบห้าสหกรณ์ ผมได้ร่วมกับชาวสวนยางก่อตั้งบริษัทขึ้นมาพัฒนาการส่งออกด้วยตัวเองภายใต้ชื่อ "บริษัท ยางไทยร่วมด้วยช่วยกัน จำกัด"

ree

จากการร่วมทุนในครั้งนี้ ผมได้ควักเงินซื้อบทเรียนในราคาห้าแสนบาท ใช้เงินของผมเองไม่ใช่ของ "สหกรณ์ร่วมด้วยช่วยกัน" นะครับ บทเรียนที่ว่านั่นคือ ยางแผ่นไม่ใช่สินค้าทางการเกษตรที่เกษตรกรจะสามารถเข้าไปมีบทบาทได้ครบวงจรด้วยตัวเอง ตลาดของยางแผ่นรมควันในโลก ได้พัฒนาไปจนกระทั่งกลายเป็นตลาดของผู้ซื้อกลุ่มเล็กๆ มีสามบริษัทยักษ์ใหญ่ในโลกควบคุมอยู่ ส่วนผู้ขายจำนวนมากก็พยายามรวมตัวกันอย่างไม่ค่อยจะสำเร็จนัก


ล่าสุดรัฐบาลไทยของเราก็พยายามรวมตัวกันกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อตั้งกลุ่มผู้ผลิตยางแผ่นรมควัน ไว้ต่อรองกับกลุ่มผู้ซื้อ คงต้องเฝ้าดูกันต่อไป สหกรณ์เล็กๆ อย่าง "ร่วมด้วยช่วยกัน" คงทำได้แค่ขายข้าวสารให้กับกลุ่มสหกรณ์โรงรมยางเท่านั้นเองกระมัง

เนื่องจากผมเสียค่าเล่าเรียนไปและถูกผู้ซื้อในประเทศจีนโทรศัพท์มาด่า ว่า "โง่รึเปล่า " แล้วยังพยายามจะค้าขาย ทำให้เจ็บใจตัวเองอยู่จนทุกวันนี้ ความมีอยู่ว่า ผู้ซื้อขอให้เสนอราคายางแผ่นรมควันจำนวนหนึ่ง เพื่อส่งมอบสินค้า ณ ท่าเรือหาดใหญ่ ผมก็ติดต่อขอทราบราคาที่จะเสนอไปประเทศจีนจากกลุ่มสหกรณ์โรงรมยางในจังหวัดสุราษฎร์ธานี พอเสนอราคาไปให้ผู้ซื้อ ก็พบว่า ราคาของเราสูงกว่าที่เขาสามารถจะซื้อได้ในประเทศจีนเสียอีกด้วยซ้ำไป ก็พยายามอยู่หลายสัปดาห์ จนถูกตำหนิว่า " โง่ " แล้วจึง " ฉลาด "

ธุรกิจส่งออกยางแผ่นนั้น ไม่ใช่ธุรกิจที่กลุ่มเกษตรกรสวนยางและสหกรณ์โรงรมยางจะสามารถทำได้เอง เพราะธุรกิจนี้ต้องมีการซื้อสินค้าเข้ากักตุนในโกดังทุกวันในราคาต่างๆ ถูกบ้าง แพงบ้าง เฉลี่ยราคาแต่ละสัปดาห์ที่ซื้อเข้ากับสต๊อกสินค้าที่กักตุนอยู่

ดูลาดเลาท่าทีของความต้องการในตลาดโลกที่กำหนดราคาไว้ที่ตลาดกลางในประเทศสิงคโปร์ประจำวัน ถ้าราคาต้นทุนเฉลี่ยของสินค้าในคลังถูกกว่าที่ตลาดโลกจะรับซื้อ แปลว่ามีกำไร ก็ค่อยตัดสินใจขาย หรือจะเก็บไว้เก็งกำไรเพิ่มต่อไปก็ได้

ตรงนี้แหละครับ ต้องกักตุนเฉลี่ยราคาสินค้า เพื่อดู"ฮั่งเซ้ง" ซึ่งแปลว่า สภาวะตลาดในภาษาจีนแต้จิ๋ว ทำให้ต้องมีทุนมาก ลงทุนมาก ต่อให้พวกเกษตรกรรวมกันสักห้าสิบ

สหกรณ์ ก็มีเงินรวมๆ กันได้ไม่เกินห้าหกสิบล้านบาท เงินจำนวนนี้ไม่พอตุนสินค้าได้เกินหนึ่งเดือนก็จอด ชีวิตของชาวบ้าน ชาวสวน ต้องหาเลี้ยงปากท้องวันต่อวัน อุดมการณ์หรือความตั้งใจดีที่จะร่วมด้วยช่วยกันอย่างไร ก็แพ้ความหิวเมื่อขาดเงิน

ผมเสียเงินคนเดียว สหกรณ์โรงรมยางในสุราษฏร์ธานีเก่งขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงิน แค่เสียเวลาไประยะหนึ่ง และได้เรียนรู้ที่จะหาที่พึ่งในประเทศกัน ให้มาร่วมด้วยช่วยกัน มาสร้างตลาดภายในประเทศกันอย่างนี้


ผมถือว่าเสียเงินหรือขาดทุนแล้วกำไร แบบที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีรับสั่งต่อพสกนิกรทั่วประเทศเมื่อสามสี่ปีที่ผ่านมาในวาระวันเฉลิมพระชนมพรรษาวันที่ ๕ เดือนธันวาคม กำไรก็เพราะ เมื่อพรรคพวกของผมโดยเฉพาะคุณสนธิญาณ หนูแก้ว รู้สึกสงสารผมที่ลากผมกลับไปใต้บ้านเขา แล้วเจ็บตัว เลยทำหน้าที่วิ่งประสานไปยังท่าน ดร.ณรงค์ โชควัฒนา มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ อีกทั้งเป็นนักทำงานสังคมระดับแนวหน้าของประเทศเรา ท่านดร.ณรงค์ มีโรงงานผลิตรองเท้าผ้าใบยี่ห้อ "แพน" อยู่ในจังหวัดระยอง ทางโรงงานแพนก็ใช้น้ำยางสดอยู่เป็นประจำ


ตอนนี้พวกเกษตรกรสวนยางที่สุราษฏร์ธานี เขาทดลองขนน้ำยางสดจากสุราษฎร์ฯ ส่งไปขายที่ระยองให้ท่านดร.ณรงค์ลองใช้กันสักระยะ นี่ถ้าผู้คนในภาคใต้ใส่รองเท้า "แพน" มากขึ้น แทนที่จะใส่ "อาดิดัส" หรือ "ไนกี้" กลุ่มสหพัฒนพิบูลอาจจะเปิดโรงงานผลิตรองเท้าผ้าใบที่สุราษฎร์ฯ แล้วรับซื้อน้ำยางสดจากสหกรณ์เกษตรกรสวนยางไปผลิตรองเท้า ทำให้สหกรณ์ไม่ต้องเป็นทาสบริษัทส่งออกก็ได้ นี่เป็นแค่ข้อคิดข้อแนะของผมเท่านั้นครับ

เพราะเรื่องยางทำให้ถูกด่าเสียก่อน เลยได้ปัญญามาดูเรื่องข้าว ทำให้เห็นสัจธรรมในความคล้ายกันของการส่งออกข้าวไปต่างประเทศ ทุกอย่างเหมือนกันราวกับแพะและแกะ พวกเราเลยไม่พยายามบินไปขายข้าวที่ต่างประเทศ

นอกเสียจากครั้งหนึ่งที่พวกเราได้เดินทางไปดูตลาดที่ตะวันออกกลางด้วยเงินของผมอีกนั่นแหละครับ ไม่ได้เคยรบกวนสหกรณ์ร่วมด้วยช่วยกัน ผลก็คล้ายกับเรื่องยางครับ ตลาดโลกมันมีราคาที่พ่อค้าคนกลางเสนออยู่ในตลาดทุกวัน ราคาที่สหกรณ์โรงสีข้าวของกลุ่มเกษตรกรจะเสนอให้ได้ ไม่มีวันสู้ราคาโรงสีใหญ่ๆ ได้ ถ้าอยากได้จริงๆ ก็ต้องกดราคาซื้อเข้าให้ถูกที่สุดตามจังหวะของตลาด

แต่ดูๆ แล้ว โชคไม่ค่อยเข้าข้างพวกเราสักเท่าไหร่ ช่วงฤดูกาลขายผลิตผลทั้งของยางพาราและข้าวปี ๒๕๔๖-๒๕๔๗ นี้ ราคาสินค้าทั้งสอง พุ่งสูงขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์ ถึงความตั้งใจของพวกผมยังทำไม่สำเร็จ และสวรรค์ก็ยังมีความเมตตาต่อเกษตรกร ดีครับ ก็ได้ผลลัพธ์เดียวกันกับที่ตั้งใจไว้ คือ เกษตรกรได้รับผลประโยชน์อย่างยุติธรรม

ว่าไปแล้วกิจกรรม "ทุนใหญ่ช่วยทุนเล็ก" ถ้าหากรัฐบาลหรือเอกชนรายใหญ่ๆ ที่ใหญ่กว่าบมจ.ดีแทค หรือบมจ.ยูคอม จะนำไปทำแบบเต็มรูปแบบ ชนิดเปรี้ยงเดียวทั่วไทยละก้อ ผมว่ายิ่งดี จะได้พิสูจน์ผลของทฤษฎีใหม่ขั้นที่สามแบบเต็มที่ ผลดีก็จะตกแก่คนไทยทั้งชาติ อีกทั้งต่อไปก็สามารถนำไปเป็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของโลกยุคใหม่ ช่วยชาวโลกที่ยากจนได้

Comments


มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด

เลขที่ 499 อาคารเบญจจินดา ชั้น 5A ถ.กำแพงเพชร 6 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม 10900

โทร. 02-016-5555 ต่อ 1089

แฟกซ์. 02-016-5606
อีเมล์: rbk_foundation@rakbankerd.com

Logo มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด

© 2024 by ruamduayfoundation |  Cookies Policy  |  Privacy Policy

bottom of page